ปลาบูริกับซอสซัลซ่าเวอร์เด้ (Salsa Verde)
- เนื้อปลาบูริ 480g
- แป้งขนมปัง ปริมาณพอเหมาะ
- น้ำมันมะกอก ปริมาณพอเหมาะ
- หอมหัวใหญ่120g
- กระเทียม 1 กลีบ
- ไวน์ขาว 70cc
- หอยลายอาซาริ 240g
- น้ำ240cc
- อิตาเลียนพาร์สลีย์ 20g
- เกลือ ปริมาณพอเหมาะ
- พริกไทย ปริมาณพอเหมาะ
ปลาบูริที่ผลิตในญี่ปุ่นซึ่งอุดมด้วยไขมันและมีเนื้อนุ่ม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับทำเป็นนิโมโนะ (อาหารต้ม)
เมนูนี้มีสูตรที่เรียบง่าย แต่เป็นการรวมรสชาติอร่อยกลมกล่อมด้วยการต้มหอยลายอาซาริและผักเข้าด้วยกัน และจัดเสิร์ฟด้วยซอสที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอม
วิธีทำ
-
โรยเกลือและพริกไทยบนเนื้อปลาบูริ และคลุกแป้งขนมปัง
-
แช่หอยลายอาซาริในน้ำเกลือครึ่งวัน-หนึ่งวันเพื่อเอาทรายออก
-
สับกระเทียม, หอมหัวใหญ่ และส่วนใบของอิตาเลียนพาร์สลีย์ให้ละเอียด
-
ใส่น้ำมันมะกอกลงในหม้อ ผัดกระเทียม เติมหอมหัวใหญ่ ผัดด้วยไฟอ่อนสักพักหนึ่งจนกระทั่งหอมหัวใหญ่นิ่มและไม่มีน้ำออกมา
-
เติมไวน์ขาว ใช้ไฟแรงให้แอลกอฮอล์ระเหยออก เมื่อแอลกอฮอล์ระเหยออกไปแล้ว เติมน้ำและต้มให้เดือด แล้วจึงเติมอิตาเลียนพาร์สลีย์
-
ใส่ปลาบูริและหอยลายอาซาริลงในหม้อ เมื่อเดือดแล้วให้อุ่นด้วยไฟอ่อน
-
จัดเสิร์ฟลงบนจานเป็นอันเสร็จ

เกิดที่คาตาโลเนีย ประเทศสเปน
เชฟหญิงระดับสามดาวจากแม่บ้านที่มีเพียงสี่คนในโลก
ในปี 1988 เขาได้เปิด ""Restaurant Sant Pau"" ในบ้านเกิดของเขาที่มองเห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในฐานะเชฟหญิงระดับ 3 ดาวที่หายากและไม่มีประสบการณ์ในร้านอาหารอื่น เธอได้รับรางวัล 3 ดาวมิชลินในปี 2006
ด้วยความคิดสร้างสรรค์และศิลปะที่ล้นเหลือของเขา เขายังคงหลงใหลในศาสตร์การทำอาหารไปทั่วโลก
ปลาบูริ
ปลาบูริซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นของญี่ปุ่น เป็นปลาที่คนญี่ปุ่นคุ้นเคยบนโต๊ะอาหารมาตั้งแต่อดีต
สามารถรับประทานแบบดิบ เช่น ซาชิมิหรือการ์ปัชโช ได้อร่อย อีกทั้งเมื่อนำไปปรุงเป็นอาหารโดยให้ความร้อน เช่น ชิโอยากิ, เทริยากิ หรือชาบูชาบู ก็จะช่วยดึงความอร่อยกลมกล่อมจากไขมันออกมามากยิ่งขึ้น